เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
ศูนย์ข่าวขอนแก่น-คณะแพทย์ศาสตร์ ม.ขอนแก่น เปิดผลการวิจัยฉีดวัคซีนชิโนแวค 2 เข็มภูมิคุ้มกันโควิดพุ่งพรวด แนะทิ้งระยะห่าง 3 เดือนเข้ารับการบูสต์เข็ม 3 ในกลุ่มไวรัสเสคเตอร์และmRNA จะช่วยให้ประสิทธิภาพการป้องกันโรคเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแผนการฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์ จนท.ด่านหน้าของไทยที่ทำอยู่
วันนี้ (16 ส.ค.) ที่สำนักงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ศ.ดร.สุรศักดิ์ วงศ์รัตนชีวิน คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย ในฐานะที่ปรึกษาโครงการวิจัยการตรวจภูมิคุ้มกันของผู้ที่รับวัคซีนชิโนแวค พร้อมด้วย ผศ.ดร.สุปราณี พันธุ์ธนวิบูลย์ อาจารย์ประจำภาควิชาจุลชีววิทยาคณะแพทยศาสตร์ มข. และ ผศ.นพ.อธิบดี มีสิงห์ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มข. ร่วมกันแถลงข่าวผลการวิจัยการตรวจภูมิคุ้มกันของผู้ที่รับวัคซีนชิโนแวค ซึ่งทีมนักวิจัยได้วิจัยจนประสบผลสำเร็จ
ทั้งนี้ในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด19ในห้วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้นำเข้าและใช้วัคซีนชนิดเนื้อตายฉีดให้กับบุคลากรด่านหน้า ก่อนที่จะมีการใช้วัคซีนไวรัสเวคเตอร์และชนิด mRNA ในเวลาต่อมา
ศ.ดร.สุรศักดิ์ วงศ์รัตนชีวิน คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย ในฐานะที่ปรึกษาโครงการวิจัยฯ เปิดเผยว่า วัคซีนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะยับยั้งการระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี ที่ผ่านมาการต่อสู้กับสถานการณ์โรคได้มีการนำวัคซีนชิดเนื้อตายเข้ามาสร้างภูมิคุ้มกันให้กับบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรด่านหน้า ซึ่งในภาพรวมทั้งประเทศได้รับวัคซีนดังกล่าวครบแล้ว 2 เข็ม คือยี่ห้อชิโนแวค มหาวิทยาลัยขอนแก่น( มข.) โดยทีมนักวิจัยได้ทำการศึกษาในเรื่องของภูมิคุ้มกันของผู้ทีได้รับวัคซีนชิโนแวค จำนวนครบแล้ว 2 เข็ม ทำการศึกษา
ทั้งในเรื่องของภูมิคุ้มกันด้านแอนติบอดี้ และด้านเซลล์ ซึ่งเป็นผลงานวิจัยครั้งแรกที่มีการรายงานภูมิคุมกันด้านเซลล์ของผู้ที่ได้รับวัคซีนดังกล่าวนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันโรคต่อไป
ด้าน ผศ.ดร.สุปราณี พันธุ์ธนวิบูลย์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวต่อว่า ผลการวิจัยการตรวจภูมิของผู้ที่ได้รับวัคซีนชิโนแวค ซึ่งทีมนักวิจัยคณะแพทยศาสตร์ มข.ได้ดำเนินการนั้นเป็นการศึกษาแอนติบอดี้ และทีเซลล์ของผู้ที่รับวัคซีนชิโนแวค ในกลุ่มเป้าหมาย คือแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรด่านหน้า จำนวน 335 คน มีการเก็บข้อมูลจากการเจาะเลือดทั้งหมด 3 ครั้ง คือครั้งที่ 1 ก่อนฉีดวัคซีน ครั้งที่ 2 คือหลังจากฉีดวัคซีนเข็มแรก และครั้งที่ 3 หลังจากฉีดวัคซีนเข็ม 2 เป็นเวลา 1 เดือน
กลุ่มตัวอย่างดังกล่าวที่ได้รับวัคซีนสามารถท่จะสร้างแอนติบอดี้ ที่จำเพาะต่อโปรตีนของเชื้อได้ถึงร้อยละ 89 หลังจากรับวัคซีนเข็มแรก และ หลังจากรับวัคซีนครบ 2 เข็ม สามารถตรวจวัดระดับปริมาณของแอนติบอดี้ที่จำเพาะได้ครบทุกคนในปริมาณที่แตกต่างกัน
จากผลการวิจัยสามารถที่ระบุได้ว่าการรับวัคซีนชิโนแวคครบ 2 เข็ม ทุกคนมีภูมิคุ้มกันโควิด-19 ซึ่งจากกลุ่มตัวอย่างทุกคนพบว่าวัคซีนชิโนแวคสามารถที่จะกระตุ้นให้เกิดแอนติบอดี้ได้ดี แต่การกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของทีเซลล์นั้นมีน้อย จึงแนะนำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนชิโนแวคครบ 2 เข็ม ควรได้รับการกระตุ้นทีเซลล์ด้วยวัคซีนชนิดอื่นที่ไม่ใช่รูปแบบเชื้อตาย เพื่อประสิทธิภาพการป้องกันโรคที่เพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะในภาวะที่มีการกลายพันธุ์ของเชื้อ เพราะระดับแอนติบอดี้ ที่สร้างขึ้นนั้นอาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันสายพันธุ์ใหม่ได้
ดังนั้นการที่รัฐบาลกำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด่านหน้า เป็นชุดแรกที่จะต้องได้รับการบูสเตอร์เข็ม 3 ด้วยไวรัสเวคเตอร์ และ mRNAโดยห่างจากการรับวัคซีนชิโนแวคครบ 3 เดือน จะเป็นการกระตุ้นภูมิด้านเซลล์ได้ดีอีกด้วย