“ต่างชาติล้มเจ้า”? เปิดประวัติ “ยัน มาฉัล” ชาวฝรั่งเศสที่ถูกเนรเทศ ความผิดต่อสถาบันฯ ฝังตัวในไทยเกือบ20ปี ที่แท้หนุ่มคนสนิท “แยม ไฟเย็น” ผู้ลี้ภัย112 จับตาลงถนน “หมอเหรียญ” ไม่ทน นำ 9 องค์กรเดินสีลมไล่ “แอมเนสตี้”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(27 พ.ย.64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น เปิดหน้า-ดูประวัติ “ยัน มาฉัล” ชาวฝรั่งเศสฝังตัวในไทยเกือบ20ปี ที่แท้หนุ่มคนสนิท “แยม ไฟเย็น” ผู้ลี้ภัย112
โดยระบุว่า จากกรณีที่วันนี้มีรายงานว่า นายยัน ฮีริค มาฉัล ชาวฝรั่งเศส ถูกเจ้าหน้าที่ ตม. จังหวัดภูเก็ต เอาจดหมายมายื่นให้บอกว่า ยันเป็น “บุคคลที่เป็นที่น่าเชื่อว่ามีพฤติการณ์เป็นภัยต่อความมั่นคง” และจะถูกให้ออกจากประเทศไทย หลังมีการถ่ายคลิปวิดิโอวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน
ย้อนไปเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.62 ชาวฝรั่งเศสคดังกล่าว ได้โพสต์ทางหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัวทั้งภาษาไทยและอังกฤษ หลังจากก่อนหน้านี้เขาได้โพสต์วิดีโอที่ตัวเองร้องเพลงแปลงเนื้อร้องของเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” หลังวิดีโอเพลงแปลงนี้ ได้ถูกแพร่ไปอย่างรวดเร็วในชั่วข้ามคืน และส่งผลให้ในเวลาต่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไป “เยี่ยมเยียน” ที่บ้านพัก แล้วสั่งให้เขาลบวิดีโอดังกล่าว ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีความยาว 34 วินาที เป็นภาพเขาร้องเพลงซึ่งมีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า “เราจะทำผิดสัญญา ขอเวลาอีกนาน ๆ แล้วระบบเผด็จการจะอยู่ค้ำฟ้า…”
เมื่อถามถึงสาเหตุที่เขาทำวิดีโอเสียดสีรัฐบาลไทย นายมาฉัล เล่าว่าได้รับแรงบันดาลใจหลังจากได้ทราบผลการเลือกตั้ง และการที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มีมติเห็นชอบให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย ซึ่งเขามองว่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับเนื้อเพลงในบทเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” พร้อมกับยืนยันว่า จุดประสงค์ของการทำวิดีโอนี้คือเพื่อความบันเทิง หลังจากนายมาฉัล โพสต์ข้อความขอโทษที่ทำวิดีโอล้อเลียนดังกล่าว
นอกจากนี้ เขาลงชื่อในบันทึก “ข้อตกลง” ซึ่งมีเนื้อหาว่าเขายอมรับว่าการโพสต์คลิปวิดีโอล้อเลียน คสช.เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และจะไม่กระทำอีก รวมทั้งให้เขาทำคลิปแสดงความขอโทษต่อรัฐบาลและประชาชนชาวไทยต่อพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้น เขาได้เซ็นชื่อในข้อตกลงดังกล่าว เพราะ “ประการแรก ผมจะไม่สู้ในการต่อสู้ที่ผมไม่มีทางชนะ และมีแต่จะทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมาย หรือการถูกยกเลิกวีซ่า หรือทั้งสองอย่าง”
“ประการที่สอง ผมมีแผนจะหยุดพักจากการโพสต์เรื่องการเมืองอยู่แล้วหลังจากคลิปล่าสุดกลายเป็นกระแสโด่งดังเกินความคาดหมายของผม คลิปดังกล่าวทำให้คนหัวเราะมากกว่าทำให้ไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม มันทำให้บางคนโกรธเคือง และผมก็ไม่ได้มีความสุขจากสิ่งนั้น ความพึงพอใจของผมคือการเป็นคนตลกและกล้าแสดงออก ซึ่งยากจะทำได้เมื่อผู้คนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ผมเลือกที่จะรอให้อะไร ๆ เย็นลงก่อน เพื่อที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในทางที่สร้างสรรค์มากกว่านี้”
สำหรับ นายยัน มัรชัล เป็นชาวฝรั่งเศสอายุ 48 ปี อาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 18 ปี โดยทำธุรกิจพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งจะปิดทำการสำนักงานในกรุงเทพฯ ไปเมื่อต้นปี 2562 มีช่อง tiktok ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน ซึ่งที่มีผู้ติดตามกว่า 560K
และเมื่อวานนี้ นายยัน ได้มีการโพสต์คลิปวิดิโอ ล้อเลียนสถาบันฯ พร้อมกับสวมเสื้อ ยกเลิก ม.112 โดยมี แยม ไฟเย็น นางสาวรมย์ชลี สมบูรณ์รัตนกูล ผู้ลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศส ซึ่งเขาเดินทางไปเจอที่ฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในหัวข้อ “เมื่อสามนิ้วมาหาหมอ” ซึ่งคาดว่าเหตุที่ถูกส่งกลับประเทศน่าจะมาจากคลิปดังกล่าว
โดยนายยัน มีความสัมพันธ์สนิทกับ “แยม ไฟเย็น” หนึ่งในสมาชิกวงไฟเย็น ที่เดินทางออกจากนครหลวงเวียงจันทน์ มุ่งสู่ปารีส ฝรั่งเศส เมื่อ 2 ส.ค.62 สมาชิกกลุ่มไฟเย็นประกอบด้วย รมย์ชลี สมบูรณ์รัตนกูล (แยม ไฟเย็น) ,ไตรรงค์ สินสืบผล (ขุนทอง ไฟเย็น), นิธิวัต วรรณศิริ (จอม ไฟเย็น) และ วรวุฒิ เทือกชัยภูมิ (ดีเจตีโต้)
ทั้งยังมีการถ่ายภาพล้อเลียนสถาบัน โดยมีการใส่สูท สะพายกล้อง ถือแผนที่ ในช่วงที่ นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือ ลูกนัท ถุกวิพากษ์วิจารณ์ในการแต่งตัวล้อเลียนในหลวง ร.9 ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 22 ส.ค.64 ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมม็อบทะลุฟ้า
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ได้มีกรณีของนายเดวิด สเตร็คฟัส นักวิชาการชาวอเมริกัน เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิชาการต่างชาติที่เคลื่อนไหวต่อต้าน ม.112 ที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานกว่า 35 ปี ที่ถูกเลิกจ้างจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยขณะนั้น ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดขอนแก่น พล.ต.ปรีชา กองแก้ว รองผู้บังคับการ ตม. ภาค 4 และ พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ กุลศักดิ์ สารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดขอนแก่น ได้ชี้แจงความคืบหน้าเรื่องวีซ่าทำงานของเดวิด สเตร็คฟัส หลังถูกเลิกจ้างจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นว่า เนื่องจากเอกสารมีจำนวนมาก ประกอบเป็นช่วงวันหยุดสงกรานต์ ตม. ขอนแก่นจึงขยายเวลาพิจารณาเอกสารออกไป 15 วัน และขอนัดมาฟังผลวีซ่าวันที่ 3 พ.ค.64
โดยสารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดขอนแก่น ได้ยืนยันว่า ตม.ขอนแก่นทำตามขั้นตอน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองและคุณเดวิดไม่ได้เป็นบุคคลต้องห้ามตาม พ.ร.บ. คนต่างด้าว ดังนั้นขั้นตอนการขอวีซ่าจึงไม่น่าจะมีปัญหาพร้อมบอกว่า ทาง ตม. ขอนแก่นไม่เคยเข้าไปกดดัน มข. ให้ยกเลิกวีซ่าเดวิด แต่ ตม. ขอนแก่นได้รับจดหมายจากมหาวิทยาลัยว่ามีการเลิกจ้างแล้วจึงดำเนินการยกเลิกวีซ่าตามการประสานงานของหน่วยงานราชการ
ต่อมาเมื่อ 18 เม.ย.64 มีรายงานว่า รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดี มข. ได้ชี้แจงว่าทาง มข. ได้ยกเลิกสัญญาของเดวิดจริง โดยโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษานั้นเป็นความร่วมมือระหว่าง CIEE ซึ่งเป็นองค์กรภายนอกกับ มข. ไม่เคยมีสัญญาจ้าง ทาง มข. ไม่ได้เป็นผู้ยกเลิกโครงการ CIEE และเมื่อมีการยกเลิกโครงการ ทางคณะฯ ก็เห็นว่าไม่มีความก้าวหน้าในงานที่ตกลงกันไว้ จึงแจ้งขอยกเลิกสัญญา และไม่เคยมีตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐใดๆ มาพบหรือกดดันอธิการบดีและคณบดี
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 พ.ค.64 ทางด้านของ น.ส.ณัฐาศิริ เบิร์กแมน ทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ก็ได้เปิดเผยผ่านสื่อว่า เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ดร.เดวิด ครบถ้วนแล้วว่าไม่ใช่บุคคลต้องห้าม สามารถอยู่ในประเทศไทยได้ แต่ก็ต้องทำงานที่ได้ระบุไว้ในการขอวีซ่า หากไม่เป็นไปตามใบอนุญาตทำงานก็สามารถเพิกถอนวีซ่าได้
ทั้งนี้ทางด้านของ พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผู้บังคับการ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ออกมายืนยันต่อว่า ดร.เดวิด สามารถทำงานที่บริษัท บัฟฟาโล่ เบิร์ดฯ ในการผลิตสื่อและสารคดีได้ มีใบอนุญาตทำงานเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากว่า ณ เวลานี้ ดร.เดวิด ยังไม่ใช่ผู้ต้องหาตามกฎหมาย หรือมีภัยต่อความมั่นคง ในชั้นนี้ยังไม่มีหลักฐานปรากฏ แต่หากในอนาคตมีหลักฐาน หรือมีเรื่องใดที่ขัดต่อกฎหมาย หรือความมั่นคง เราจึงค่อยดำเนินการพิจารณาตามกฎหมายคนเข้าเมืองต่อไป
หลังจากการให้สัมภาษณ์ ของทางด้านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ก็เริ่มมีหลายๆคนที่เริ่มตั้งคำถามว่า ดร.เดวิด ได้เขียนบทความโจมตีการเมืองประเทศไทย เพื่อลงในนิตยสารต่างๆ อาทิ หนังสือ Truth on Trial in Thailand ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเมืองไทย วิพากษ์วิจารณ์ปัญหาความไร้เสถียรภาพทางการเมือง การใช้ความรุนแรงในทางการเมือง ปัญหาสิทธิเสรีภาพหลังจากการรัฐประหารของทหารในปี 2006 ปัญหาความอยุติธรรมทางกฎหมายของไทยในโลกสมัยใหม่ ซึ่งตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ Routledge ใน 2011 อีกทั้งยังมีหนังสือพิมพ์ระดับโลกอย่าง The Wall Street Journal และ The New York Times จึงเกิดการตั้งคำถามว่า แนวคิดและการเขียนหนังสือในรูปแบบนี้ ยังไม่กระทบกระเทือนความมั่นคงของชาติอีกหรืออย่างไร
นอกจากนี้ ดร.เดวิด ก็เคยได้ให้สัมภาษณ์ ผ่านนิตยสารฟ้าเดียวกัน ในเรื่องของ “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คือ เศษซากอุดมการณ์การเมืองของเผด็จการ” ซึ่งบทความดังกล่าวนั้นค่อนข้างมีความละเอียดอ่อนต่อประเทศไทย
ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางด้านของ นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ประธานสถาบันทิศทางไทย ได้เคยกล่าวไว้ว่า ดร.เดวิด สเตร็คฟัสส์ ค่อนข้างเป็นภัยต่อความมั่นคง หลังจากที่ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ได้ให้ข้อมูลตอกย้ำและสอดคล้อง กับทางด้านสำนักข่าว The Truth ได้เคยขุดคุ้ย ประเด็นต่างๆ ที่ทางด้านของ ดร.เดวิด มีสัมพันธ์ที่ดีกับทางด้านกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทย
รวมถึงแนวคิดและมุมมอง ดร.เดวิด ได้เขียนผ่านหนังสือ จึงถูกทางด้านเจ้าหน้าที่สันติบาล จับตาเป็นพิเศษ แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจเป็นอย่างมาก เมื่อทางด้านของ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง ได้อนุญาตให้ต่อวีซ่าทำงาน ของ ดร.เดวิด แถมยังได้ระบุชัดเจนว่า เป็นงานด้านสื่อ กับทางด้านบริษัท บัฟฟาโล่ เบิร์ด โปรดักชั่นส์ หรือว่าทางด้านของ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง ไม่ได้รับข้อมูล หรือไม่เคยหยิบข้อมูลที่ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ส่งไปให้เลยแต่อย่างใด!?
อย่างไรก็ตาม คนไทยก็ได้ตั้งข้อคำถามว่า กรณีของชาวฝรั่งเศสที่ออกมาล้อเลียนสถาบัน กับกรณีของนายเดวิด มีความแตกต่างกันหรือไม่ เพราะกรณีของนายเดวิด ก็มีพฤติกรรมที่มีแนวคิดที่ต้องการจะให้มีการยกเลิก ม.112 มีความเชื่อมโยงกับขบวนการโจมตีสถาบัน ทำให้คนไทยอยากทราบว่า ทางตม.จะมีความคิดเห็นกับเรื่องอย่างไร?
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น พรึบลงถนน!! หมอเหรียญฯออกโรง นำ 9 องค์กรเดินสีลมไล่แอมเนสตี้ฯ
เนื้อหาระบุว่า จากกรณีนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี นำล่ารายชื่อประชาชน 1 ล้านชื่อ ขับไล่ “แอมเนสตี้ อินเตอร์ เนชั่นแนล” ออกจากประเทศไทย ขณะที่กลุ่มปกป้องสถาบัน 6 องค์กร ยื่นหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์นั้น
ทั้งนี้นายเสกสกล หรือ แรมโบ้อีสาน ได้ออกมารับมอบหนังสือจากตัวแทนของ 6 องค์กร พร้อมกับได้พูดคุยกับมวลชนที่มาร่วมขับไล่แอมเนสตี้ว่า ขณะนี้ได้มีการรวบรวมรายชื่อได้แล้วว่า 500,000 รายชื่อ และจะมีการสัญจรไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้มาร่วมลงชื่อ
ต่อมาวันที่ 25 พ.ย.64 ศูนย์เรียนรู้กลุ่มวิสาหกิจชุมชน บ้านอ่างหิน ต.ธงชัยเหนือ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา นางนิตยา นาโล หรือ “นักสู้ปอสี่” อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคอีสาน ได้เชิญตัวแทนอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง 20 จังหวัดภาคอีสาน เพื่อมารับทราบการจะนำรายชื่อประชาชนจำนวน 1 ล้านชื่อ ขับไล่กลุ่ม “แอมเนสตี้ อินเตอร์ เนชั่นแนล ประเทศไทย” ออกจากประเทศไทย เพราะกลุ่มนี้มักชอบอ้างตัวเองว่าเป็น “กลุ่ม NGO” ระหว่างประเทศออกช่วยเหลือปกป้องสิทธิมนุษยชนทั่วโลก จึงได้พากันตั้งโต๊ะให้ประชาชนได้มาลงชื่อตามแคมเปญของ นายเสกสกล
ล่าสุดวันนี้ (27 พ.ย.64) เฟซบุ๊ก ภาคีประชาชน ปกป้องสถาบันฯ และประชาชนของพระราชา ได้ออกมาโพสต์แบนเนอร์พร้อมข้อความถึงการจัดกิจกรรมขับไล่แอมเนสตี้ฯว่า
บอกต่อๆกัน วันจันทร์ จะไป เชิดสิงโตโห่ไล่ Amnesty กิจกรรม เดินรณรงค์ล่า ล้านชื่อ…ขับไล่ amnesty ออกไป วันจันทร์ที่ 29/11/64 ตั้งแต่เวลา 11.30น. ใครสะดวกมาร่วมกันได้ รายละเอียดตาม “หมายข่าว”นี้
ขณะที่เฟซบุ๊ก ไทยรักษา ก็ได้โพสต์แบนเนอร์ดังกล่าว พร้อมข้อความ ระบุว่า ประกาศเชิญประชาชนร่วมทำกิจกรรมร่วมกัน ในการขับไล่ ”แอมเนสตี้” ยกที่ 2
ในครั้งนี้ จัดโดย เพจภาคีประชาชนปกป้องสถาบัน นำโดยพี่เจนของเรานั่นเอง โดยจะเป็นกิจกรรมร่วมกันเดินรณรงค์ ขับไล่แอมเนสตี้ เป็นระยะทางสั้นๆ โดยจะเริ่มสตาร์ทจากด้านหน้าสีลมคอมเพล็กซ์ ในเวลา ๑๑.๓๐ น. และไปสิ้นสุดที่ แยกนราธิวาสแล้ววกกลับ
แล้วพบกันนะครับ ไทยรักษา ช่วยประชาสัมพันธ์
หมายเหตุ : ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ใส่เสื้อสีเหลืองหรือสีขาว และขอความร่วมมือ งดการชูพระบรมฉายาลักษณ์ในกิจกรรม นะครับ
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การเคลื่อนไหวของฝรั่งต่างชาติ ต่อการยกเลิก ป.อาญา ม.112 ซึ่งเป็นกฎหมายปกป้องคุ้มครองสถาบันฯ และเอาผิดการหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายสถาบันฯ คำถามคือ ฝรั่งต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เป็นบุคคล เดือดร้อนอะไรเรื่องนี้ เพราะแม้แต่คนไทย ที่เดือดร้อนส่วนใหญ่ก็คือพวกไม่เอาสถาบันฯ หรือ ต้องการล้มล้างสถาบันเท่านั้น
ทำให้ประเด็นนี้น่าวิเคราะห์ขึ้นมาทันที ถึงสาเหตุของเรื่องนี้
จนกระทั่ง พบว่า ฝรั่งต่างชาติที่มีพฤติกรรมแสดงออกไม่เหมาะสมต่อสถาบันฯ เกือบร้อยทั้งร้อย ถ้าไม่มีความใกล้ชิดกับ คนไทยที่เป็นผู้ต้องหา ม.112 ก็จะต้องใกล้ชิดกับขบวนการ 3 นิ้ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หรือไม่ถ้ายากตรวจสอบ ก็อาจเป็นคนขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง ที่มุ่งหวังแทรกแซงกิจการภายในของไทยนั่นเอง
อย่างกรณี นายยัน มัรชัล ชาวฝรั่งเศส ก็พบว่า เป็นหนุ่มคนสนิทของ “แยม ไฟเย็น” หนึ่งในวงไฟเย็น ผู้ต้องหา ม.112 ที่ลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศสนั่นเอง
ส่วนประเด็นการลุกฮือของหลายองค์กร ขับไล่ “แอมเนสตี้” ความจริง ปัญหาก็คือ การอ้างสังกัดองค์กรต่างประเทศ ด้านสิทธิมนุษยชน ของคนไทยบางกลุ่มที่ฝักใฝ่ขบวนการ “3 นิ้ว” แล้วก็ฉวยโอกาสช่วยแกนนำ 3 นิ้วให้หลุดพ้นข้อกล่าวหา โดยอ้าง “แอมเนสตี้ฯ” กดดัน และแทรกแซงกิจการภายในของไทย รวมทั้งละเมิดศาลไทยด้วย
เหนืออื่นใด เห็นได้ชัดว่า ขบวนการ 3 นิ้ว ได้ส่งไม้ต่อการเคลื่อนไหว ไปให้กับการแทรกแซงของต่างชาติเรียบร้อย หลังจากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า การเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อ” ของ 3 แกนนำ เป็นการล้มล้างการปกครองฯ ทั้งยังมีผลผูกพันกับทุกองค์กร และขบวนการ 3 นิ้วทั้งหมด ไม่ให้เคลื่อนไหวเรื่องนี้อีก รวมถึงกลุ่มสนับสนุนด้วย
ที่สำคัญเกมต่อไป ที่คนไทยจะต้องรับมือก็คือ เกม “ฟ้องโลก” โดยเครือข่าย 3 นิ้วในต่างประเทศนั่นเอง ส่วนแกนนำ 3 นิ้วในไทย กระบวนการเอาผิดตามกฎหมาย ก็กำลังทำงานอย่างเข้มข้น ตามความผิด และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจนยากเคลื่อนไหวได้แล้ว หรือไม่จริง