
ที่มาของภาพ, THAI NEWS PIX
คณะหลอมรวมประชาชนนำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายนิติธร ล้ำเหลือ พร้อมด้วยคณะ จัดเวทีปราศรัย หยุด 8 ปี ประยุทธ์ ที่บริเวณลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า เมื่อ 21 ส.ค. 2565
ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และเครือข่ายนักกิจกรรมนักศึกษาหลายมหาวิทยาลัย ยื่นฟ้องผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่อศาลแพ่ง กรณีเพิ่มโทษจากการฝ่าฝืนการชุมนุมในพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19
ประเด็นของการฟ้องต่อศาลแพ่ง คือ ข้อกำหนดใน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เพิ่มโทษจากกรณีการชุมนุมสาธารณะสูงเกินกว่าอัตราโทษที่กฎหมายการชุมนุมสาธารณะ หรือ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ปี 2558 กำหนดไว้ อีกทั้งยังเปิดช่องทางให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกำหนดมาตรการขึ้นเองเป็นการเฉพาะให้สามารถระงับยับยั้ง หรือยุติการชุมนุม ได้ด้วยตนเองทันที โดยไม่ต้องผ่านกลไกศาลเหมือนที่ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ บัญญัติไว้
ผู้นำนักศึกษา 7 คน ได้แก่ นายกองค์การนักศึกษาและประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้นำนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ รมว.กลาโหม และ พล.อ. เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขอให้ศาลแพ่งมีคำสั่งเพิกถอนประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ฉบับที่ 15 และขอให้ศาลเปิดไต่สวนเพื่อคุ้มครองชั่วคราว
“ประกาศฉบับนี้เป็นการออกโดยมิชอบ และไม่มีความจำเป็น และไม่เป็นไปตามสถานการณ์โรคระบาด” วชิรวิทย์ เทศศรีเมือง ประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวกับบีบีซีไทย
พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เพิ่มอัตราโทษเกินกว่า พ.ร.บ.ชุมนุมฯ
ที่มาที่ไปของกรณีนี้ สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกข้อกำหนดนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 47 กำหนดให้การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชนที่ย่อมกระทําได้ โดยให้นําหลักเกณฑ์การจัดและการแจ้งการชุมนุม รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะมาใช้โดยอนุโลม โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) กำหนดมาตรการขึ้นเป็นการเฉพาะ “เพื่อคุ้มครองประชาชน รวมทั้งอำนวยความสะดวกและดูแลการชุมนุม…”
ที่มาของภาพ, THAI NEWS PIX
องค์การนักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
ต่อมาในวันที่ 1 ส.ค. พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงออกประกาศฉบับที่ 15 ในข้อ 5 ระบุให้นำหลักเกณฑ์การแจ้งการจัดและการแจ้ง รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามกฎหมายชุมนุมสาธารณะหรือ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 มาใช้
ส่วนประเด็นฟ้องนายกฯ คณะของโจทก์ ยื่นคำฟ้องว่า ข้อกำหนดที่ 47 ข้อ 3 กำหนดให้นำหลักเกณฑ์การจัดและการแจ้งการชุมนุม รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะมาใช้โดยอนุโลม ส่วนผู้บัญชาการทหารสูงสุดออกประกาศฉบับที่ 15 ข้อ 5 ตามที่ระบุข้างต้นมีส่วนที่ให้การกระทำตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ต้องรับโทษตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
คณะของโจทก์ระบุว่า การกระทำของทั้ง พล.อ. ประยุทธ์ และผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นการออกกฎหมายลำดับรองไปเพิ่มโทษบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ ซึ่งเป็นกฎหมายระดับ พ.ร.บ. ที่ใหญ่กว่าให้ได้รับโทษหนักขึ้นเกินกว่าที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ชุมนุมฯ เช่น การไม่แจ้งการชุมนุมตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ จะต้องโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือหากถูกกล่าวหาว่า ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้จัดการชุมนุมและผู้ชุมนุม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ กำหนดโทษไว้ที่จำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเท่านั้น
ทว่าข้อกำหนดนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 47 และประกาศผู้บัญชาการทหารสูงสุดฉบับที่ 15 ทำให้แม้การชุมนุมที่แจ้งการชุมนุมโดยไม่ชอบตามกฎหมายหรือถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้จัดการชุมนุมและผู้ชุมนุมที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่กำหนดก็อาจทำให้ต้องรับโทษจำคุก 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมากกว่าที่ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ กำหนดไว้
นอกจากนี้ ข้อกำหนดนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 47 ซึ่งระบุว่า ให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) กำหนดมาตรการขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อคุ้มครองประชาชน รวมทั้งการอำนวยความสะดวกและดูแลการชุมนุม รวมไปถึงกำหนดมาตรการอื่น ๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสมกับสถานการณ์ได้ โดยคณะโจทก์ ผู้นำนักศึกษามองว่า เปิดช่องทางให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกำหนดมาตรการขึ้นเองเป็นการเฉพาะให้สามารถระงับยับยั้ง หรือยุติการชุมนุม ได้ด้วยตนเองทันที โดยไม่ต้องผ่านกลไกศาลเหมือนที่ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ บัญญัติไว้
ที่มาของภาพ, THAI NEWS PIX
ผู้นำนักศึกษาชี้ ข้อกำหนดออกมาบังคับใช้ช่วงใกล้ชี้ชะตา 8 ปี ประยุทธ์
วชิรวิทย์ เทศศรีเมือง ประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวกับบีบีซีไทยว่า การยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งในครั้งนี้ จะเป็นกรณีที่คล้าย ๆ กับที่กลุ่มสื่อมวลชน ยื่นฟ้อง พล.อ. ประยุทธ์ กรณีความในประกาศข้อกำหนดฉบับที่ 29 ของ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ มีเนื้อหาที่ควบคุมและจำกัดสิทธิเสรีภาพสื่อในการรายงานข่าว โดยศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้ใช้ข้อกำหนดฉบับดังกล่าวเมื่อเดือน ส.ค. 2564
ประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้ความเห็นด้วยว่า เป็นที่น่าแปลกใจว่า แม้สถานการณ์การระบาดโควิดจะลดลง มีการคลายล็อกผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น แต่รัฐเห็นว่าจำเป็นต้องมีกลไกในการควบคุมสถานการณ์ทางการเมือง ประกาศฉบับดังกล่าวที่ออกมาในช่วงวันที่ 1 ส.ค. นั้น มีความสอดคล้องกับเงื่อนเวลาที่จะมีการชี้ขาดว่า พล.อ. ประยุทธ์ ครบการดำรงตำแหน่ง 8 ปี
“มันเป็นการแอบสอดไส้เพื่อให้ตำรวจ ทหาร หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถเข้ามาควบคุมการชุมนุมได้ง่ายกว่าเดิม จากเดิมที่การยับยั้งการชุมนุม ต้องขอศาล แต่ประกาศนี้สามารถเรียกกำลังพลของทหารได้ด้วย โดยที่ทั้งหมดอ้างโควิดเหมือนเดิม” วชิรวิทย์ กล่าว
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา สื่อหลายแขนงรายการการยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ สำหรับบริหารสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 แต่มติจากการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่ออกมา ยังไม่ยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในวันที่ 1 ต.ค. นี้ โดยจะต้องรอการประชุมอีกครั้งในวันที่ 30 ก.ย.
อย่างไรก็ตาม ตามแผนที่มีการแถลงโดย นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ชี้ว่า เดือน ส.ค.-ก.ย. ยังคงสถานการณ์ฉุกเฉิน และใช้ ศบค. เป็นกลไกการจัดการ แต่ในเดือน ต.ค. จะใช้วิธีประกาศโรคระบาดเฉพาะพื้นที่ (เมื่อมีเหตุจำเป็น) โดยใช้ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข และกลไกสาธารณสุขของในแต่ละจังหวัด
รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมและป้องกันโรคโควิด-19 เมื่อ 25 มี.ค. 2563 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 26 มี.ค. 2563 เป็นต้นมา ต่อมา ศบค. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาแล้ว 19 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดจะไปสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. 2565
ที่มาของภาพ, THAI NEWS PIX
ความเห็นจากนักกฎหมายจุฬาฯ
อ.ดร.พัชร์ นิยมศิลป อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุความเห็นทางกฎหมายไว้ว่า มติของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Council) ที่รับรองเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2565 เรียกร้องให้รัฐทำให้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงและกฎหมายสาธารณสุขมีความสอดคล้องกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยต้องทำให้กฎหมายเหล่านี้มีความชัดเจนและตีความได้อย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้การประท้วงโดยสงบกลายเป็นฐานความผิดทางอาญา
ขณะที่ ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป เคยวางหลักการไว้ในคดีหนึ่งว่า การจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมต้องมีกฎหมายให้อำนาจ ศาลไม่เพียงแต่จะพิจารณาว่ามีกฎหมายภายในให้อำนาจไว้หรือไม่เท่านั้น ศาลจะพิจารณาคุณภาพของกฎหมายที่ให้อำนาจด้วยว่ามีความชัดเจนทำให้ประชาชนคาดหมายได้หรือไม่ว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรด้วย
นอกจากนั้น หากมีกฎหมายที่ใช้จำกัดเสรีภาพในการชุมนุมหลายฉบับ กฎหมายเหล่านี้จะต้องมีความสอดคล้องกัน ไม่มีความขัดแย้งจนก่อให้เกิดความสับสนหรือความไม่โปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่
อ.ดร.พัชร์ กล่าวด้วยว่า ฐานทางกฎหมายในการจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมที่เกิดจาก ข้อกำหนดตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ นอกจากจะเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่มีดุลยพินิจอย่างกว้างขวางแล้ว เมื่อมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นระยะเวลานานติดต่อกันส่งผลให้มีประกาศ ข้อกำหนดและคำสั่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันออกมาเป็นจำนวนมาก ทั้งในระดับประเทศและในระดับจังหวัด กฎและมาตรการเหล่านี้มีลักษณะที่มีความซับซ้อนและอ้างอิงโยงกันไปมา มิได้รวมอยู่ในฉบับล่าสุดเพียงฉบับเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ประกาศหรือคำสั่งที่ออกมาในภายหลังก็มิได้ยกเลิกประกาศหรือคำสั่งที่มีมาก่อนหน้าเว้นแต่จะได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้ง
“เมื่อฐานในการจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมยากแก่การเข้าใจ ผลที่เกิดขึ้นคือผู้ชุมนุมย่อมฝ่าฝืนข้อกำหนดเหล่านี้อยู่เสมอ ๆ และเจ้าหน้าที่ก็จะมีโอกาสตั้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้อย่างกว้างขวาง”
“ตำรวจซึ่งควรมีหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกและจัดสมดุลในการใช้เสรีภาพระหว่างผู้ใช้เสรีภาพในการชุมนุมกับบุคคลอื่นผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้เสรีภาพในการชุมนุมก็จะกลายเป็นกลไกหนึ่งที่สนับสนุนการดำเนินคดีปิดปากประชาชน เมื่อมีผู้ชุมนุมฝ่าฝืนกฎหมายอยู่เสมอ ๆ ตำรวจจึงเลือกได้ว่าจะดำเนินคดีกับผู้ที่ออกมาใช้สิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองคนไหนหรือแกนนำกลุ่มไหนเป็นพิเศษ หรือใช้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาในการสร้างความลำบาก ยุ่งยากกับผู้ต้องหา”

